นำเสนอเรื่องราวของแบรนด์สุดฮิตอย่าง อาดิดาส (Adidas)

ค้นหาบล็อกนี้

30 เรื่องจริงจากแบรนด์ “Adidas” ที่แฟนพันธุ์แท้ห้ามพลาด

30 เรื่องจริงจากแบรนด์ “Adidas” ที่แฟนพันธุ์แท้ห้ามพลาด Adidas เป็นแบรนด์ผู้ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาทั้งอุปกรณ์และเสื้อ...

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

30 เรื่องจริงจากแบรนด์ “Adidas” ที่แฟนพันธุ์แท้ห้ามพลาด


30 เรื่องจริงจากแบรนด์ “Adidas” ที่แฟนพันธุ์แท้ห้ามพลาด

Adidas เป็นแบรนด์ผู้ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาทั้งอุปกรณ์และเสื้อผ้า ส่งจำหน่ายทั่วโลก เริ่มกิจการเมื่อปี 1920 ในเยอรมันี  สำหรับปี 2015 ที่ผ่านมา อดิดาส มียอดขายสุทธิอยู่ที่ $19.53 billions (7.1 แสนล้านบาท)  กำไรอยู่ที่ $650 millions (23,640 ล้านบาท) มีพนักงานทั้งหมด 53,731 คน  และ CEO คนปัจจุบันคือนาย  Herbert Hainer

1.  Adidas เริ่มผลิตรองเท้าคู่แรกขึ้นเมื่อปี  1920 โดยนาย Adi Dassler ชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในเมือง Bavarian 


2.  Adi เริ่มทำรองเท้าของตัวเองครั้งแรกในห้องซักล้างที่บ้านตัวเอง และหลังจากน้องชายของเขา Rudolf Dassler กลับมาจากการประจำการในกองทัพช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สองพี่น้องก็มาช่วยกันสร้างกิจการรองเท้าของตัวเอง จนกระทั่งร้านรองเท้าต้นกำเนิด Adidas ถูกเปิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1924 ในชื่อ  Gebrüder Dassler Schuhfabrik (Dassler Brothers Shoe Factory) ยังไม่ได้ใช้ชื่อ Adidas

Adidas




3.  รองเท้า Adidas  ยุคบุกเบิกจะเป็นรองเท้าวิ่งที่พื้นรองเท้าเป็นเดือยแหลม สัญลักษณ์แบรนด์ที่คนจดจำได้คือแถบสี 2 แถบด้านข้าง  และได้ร่วมเป็นสปอนเซอร์ให้งานแข่งกีฬาหลายงาน  Adidas ในยุคนั้นจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว  ทำให้รองเท้าขายดีมากเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 คู่ ก่อนจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

Adidas



4.  พอถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานของ Adi และ Rudolf ถูกทหารเข้าแทรกแซง และมีคำสั่งให้ผลิตรองเท้าบูททหารแทน ส่วน Rudolf ถูกเรียกตัวกลับเข้ากองทัพให้ร่วมรบในสงคราม


5.  พอจบสงคราม เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างพี่น้อง Adi และ Rudolf  ทั้งคู่มีปากเสียงกันรุนแรงโดยไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ Rudolf ตัดสินใจแยกตัวออกจากบริษัทและมาสร้างแบรนด์รองเท้ากีฬาของตัวเอง แบรนด์นั้นคือ Puma ส่วน Adi ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อแบรนด์โดยใช้ชื่อสมาสกับนามสกุลเป็น Adidas และเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าจากแถบสี 2 แถบ เป็น 3 แถบ

Adidas



6.  นับแต่นั้นมา Adidas กับ Puma เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาโดยตลอด และพี่น้องก็ยังคงไม่หันหน้ามาคุยกันจนกระทั่ง  Rudolf  เสียชีวิตลงในวัย 76 ปี  กิจการ Puma ถูกเปลี่ยนมือบริหารอยู่หลายครั้ง ระหว่างนี้ก็ยังคงขับเคี่ยวกับ Adidas อย่างไม่ลดละ จนเกิดเหตุการณ์ฟ้องร้องกันเรื่องลิขสิทธิ์อยู่หลายครา

Adidas



7.  ความบาดหมางของทั้งสองแบรนด์พี่น้องเริ่มบรรเทาเบาบางลงเมื่อปี 2009  CEO และผู้ถือหุ้นจากทั้ง 2 บริษัทจัดกิจกรรมเตะบอลกระชับมิตร เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นความสัมพันธ์สองพี่น้องผู้ให้กำเนิดแบรนด์รองเท้ากีฬาที่โด่งดังระดับโลก

Adidas


8.  ตอนที่พี่น้องแยกทางกัน Adi ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อแบรนด์โดยใช้ชื่อรวมกับนามสกุลเป็น Adidas  เปลี่ยนเครื่องหมายด้านข้างรองเท้าจากแถบสี 2 แถบ เป็น 3 แถบ และจดทะเบียนเป็นบริษัทของตัวเองโดยแยกจากน้องชาย เมื่อปี 1949 สิ่งที่ Adi หมายมั่นก็คือการผลิตรองเท้ากีฬาที่มีคุณภาพและสามารถช่วยส่งเสริมการเล่นกีฬาให้มีประสิทธิภาพมากเพิ่มขึ้นได้

9.  Samba เป็นหนึ่งในรองเท้ารุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องยาวนาน กำเนิดขึ้นในปี 1950 วัสดุหลักที่ใช้เป็นยางเนื้อคุณภาพ ดีไซน์ดั้งเดิมของ Samba ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ดีบนพื้นน้ำแข็ง ไม่ได้นำมาใช้ในสนามฟุตบอลอย่างยุคหลังๆ

Adidas


10.  สนีกเกอร์รุ่น Rom  เป็นต้นกำเนิดของ Adidas training shoe ในปี 1957  เป็นรองเท้าที่ผลิตด้วยแผ่นรองรุ่นพิเศษที่ช่วยซัพพอร์ตเท้าได้เป็นอย่างดี มี toe-cap ยางคุณภาพที่ห่อหุ้มอยู่บริเวณหัวรองเท้า ตัดเย็บด้วยเส้นใย Achilles มีความแข็งแรงทนทาน เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความคลาสสิค และมีกลิ่นอายของความเป็น street fashion อยู่ในตัว

Adidas



11.  “Adidas Chile 62″ ถูกผลิตขึ้นเพื่อกีฬาฟุตบอลในช่วงเทศกาล the 1962 FIFA World Cup™

Adidas

12.  Stan Smith รองเท้าสำหรับกีฬาเทนนิสรุ่นแรกของ Adidas ในปี 1964ซึ่งเดิมทีไม่ได้ยังไม่ได้ใช้ชื่อรุ่นว่า Stan Smith จนกระทั่งปี 1971 นักเทนนิสที่คว้าแชมป์ Masters Grand Prix ใส่อดิดาสรุ่นนี้ จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนชื่อรองเท้ารุ่นนี้ใหม่ตามชื่อแชมป์เทนนิส จึงกลายเป็น Stan Smith ซึ่งเป็นไลน์หนึ่งในรองเท้าอดิดาสที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

Adidas


13.  Tokio 64 สนีกเกอร์สำหรับวิ่งน้ำหนักเบารุ่นแรกของ Adidas ที่มีน้ำหนักเพียง 135 g.

Adidas


14.  กำเนิดรองเท้า Adidas รุ่น 2  ที่มีการใช้ toe-cap มาหุ้มบริเวณหัวรองเท้า Pro Model คือรองเท้ารุ่นที่แปลกตาด้วยดีไซน์รองเท้ากีฬาหุ้มข้อเท้า ออกวางขายได้ไม่นานรองเท้ารุ่นนี้ก็กลายเป็น iconic ของรองเท้าบาสเก็ตบอลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

Adidas


15.  รองเท้ารุ่นยอดนิยมที่มีความคลาสิคฮอตฮิตมาอย่างยาวนาน ถือกำเนิดขึ้นในปี 1969 “The Superstar” เป็นรองเท้าสนีกเกอร์ที่มีดีไซน์ดั้งเดิมสำหรับการเล่นบาสเก็ตบอล  โด่งดังจากการเป็นรองเท้ารุ่นยอดนิยมของเหล่านักกีฬาและเซเลบริตี้ชื่อดัง

Adidas


16.  รองเท้าเทนนิสอีกตัวที่ตั้งชื่อรุ่นตามแชมป์เทนนิสอย่าง Rod Laver  แต่ดีไซน์ของรุ่นนี้จะมีจุดทีแปลกจากความเป็นอดิดาส ตรงด้านข้างของตัวรองเท้าจะไม่มีสามแถบที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์

Adidas


17.  รองเท้ารุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยผลิตในปี 1984 คือ Adidas Micropacer

Adidas



18.  สัญลักษณ์แถบสามแถบที่ทำให้คนจดจำ Adidas ได้เป็นอย่างดี ถูกดีไซน์ขึ้นเพื่อ function ไม่ใช่ style โดยทำขึ้นมาเพื่อให้ด้านข้างของรองเท้ามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

Adidas


19.  แม้ Adidas จะเป็นแบรนด์รองเท้ากีฬาที่โด่งดัง แต่ 60 ปีแรกของอดิดาสยังเป็นคงแบรนด์ที่ไม่มีโลโก้ที่ชัดเจน  ต่อมาโลโก้ The Trefoil ถูกดีไซน์และประกาศใช้อย่างเป็นทางการในงาน Munich Olympics เมื่อปี 1972

Adidas


20.  Adidas เคยชนะคดีฟ้องร้องกับ Payless ในกรณีละเมิดลิขสิทธิ์ได้เงินไป 305 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 11,093 ล้านบาท

21.  Adidas รุ่น  Stan Smith ได้รับความนิยมมากกว่ารุ่น Superstar โดยการันตีจากยอดขาย

22.  Michael Jordan เคยเกือบจะได้เซ็นสัญญากับ Adidas เพราะเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าชอบใส่อดิดาสมาตั้งแต่มัธยมปลาย แต่ดันกลายเป็น Nike ที่ได้ตัวไป

Adidas


23.  ในช่วงปี 90s Adidas Superstar  ได้รับความนิยมในการใส่เล่นสเก็ตบอร์ดเป็นอย่างมาก ต่อมาอดิดาสจึงพัฒนารองเท้ารุ่น Adidas Sketeboarding

Adidas


24.  Mark Spitz นักกีฬาว่ายน้ำชื่อดังผู้กวาดเหรียญทองในโอลิมปิคปี 1972  ได้สร้างปรากฎการณ์บางอย่างให้ Adidas  ก่อนที่เขาจะขึ้นไปรับเหรียญในการแข่งขัน Horst Dassler ลูกชายของ Adi Dassler ได้ขอให้เขาสวมรองเท้าของอดิดาสขึ้นไปรับเหรียญด้วย  Mark Spitz  ไม่ยอมสวม แต่กลับหยิบรองเท้าอดิดาสชูขึ้นบนเวที โดยให้เหตุผลกับ Horst Dassler ว่า ถ้าให้สวมคนจะมองเห็นรองเท้าไม่ชัด และกล้องคงไม่จับภาพมาที่เท้าเขาแน่นอน ส่วนรองเท้ารุ่นนั้นคือ Adidas Gazelles

Adidas


25.  รองเท้าแตะ Adidas ถูกผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อให้นักฟุตบอลเยอรมันใส่กันลื่นล้มในห้องน้ำ

Adidas


26.  Three-Bar Logo ที่เป็นเครื่องหมายการค้าสุดคลาสสิคของ Adidas  ถูกดีไซน์โดย Peter Moore อดีตดีไซน์เนอร์ผู้มีส่วนร่วมในการออกแบบ Nike Air Jordan 1  ซึ่งหลังจากออกจากไนกี้ เขาได้เข้ามาทำงานกับอดิดาสอย่างเต็มตัว และมีส่วนสำคัญในการร่วมออกแบบรองเท้าอดิดาสหลายๆรุ่น
Adidas


27.  แต่อันที่จริงแล้วสัญลักษณ์สามขีดของ Adidas มีผู้ใช้อยู่ก่อนหน้านี้แล้วคือบริษัท Karhu ซึ่งอดิดาสต้องไปซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทดังกล่าวมา เพื่อจะสามารถใช้สัญลักษณ์นั้นได้อย่างถูกต้อง
Adidas



28.  หลังจากทีมบาสเก็ตบอล Celtics ที่อดิดาสเป็นสปอนเซอร์ ได้แชมป์ใน NBA 2008 นาย Kevin Garnett ผู้เล่นในทีมได้ตะโกนออกมาว่า “Anything is posssssible!” ซึ่งอันที่จริงแบรนด์สโลแกนของอดิดาสคือ “Impossible is nothing.” คำที่นาย Garnett ตะโกนออกมาเป็นแบรนด์สโลแกนของ Li-Ning Co. ซึ่งเป็นคู่แข่งอดิดาส

Adidas



29.  Adidas Adicolor รองเท้าสีขาวล้วนที่ถูกผลิตในปี 1985 มาพร้อมกับปากกาสีสำหรับเพ้นท์รองเท้า เพื่อให้ผู้สวมใส่ออกแบบลวดลายของตัวเองลงบนรองเท้า ซึ่งมีคู่เดียวในโลก

Adidas

30.  Adidas, Reebok  และ Taylor-Made ทั้งสามแบรนด์อยู่ภายใต้การบริหารของ Adidas Group

Adidas


วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563

อาดิดาส (Adidas) ประวัติความเป็นมาของแบรนด์สุดฮิต





อาดิดาส (Adidas) ประวัติความเป็นมาของแบรนด์สุดฮิต

แบรนด์อุปกรณ์กีฬาที่หลายคนรู้จักกันดีก็คือ อาดิดาส (Adidas) ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่โด่งดังไปและแพร่หลายไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ โดยอาดิดาสจะผลิตเหล่าอุปกรณ์กีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋ากีฬา รองเท้า ผลิตภัณฑ์ที่คนรู้จักกันมากที่สุดก็คือรองเท้ากีฬา Adidas นั่นเอง ในปี ค.ศ. 2015 บริษัทอาดิดาสสามารถทำกำไรได้สูงถึง 650 ล้านดอลล่าสหรัฐ หรือ 23,640 ล้านบาทไทยทีเดียว น่าสนใจมากที่สามารถสร้างแบรนด์ได้ฮิตติดลมบนขนาดนี้ วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับประวัติของอาดิดาสกัน
ประวัติ Adidas
อาดิดาส (Adidas) เป็นยี่ห้อของสิ้นค้าที่เกี่ยวข้องกับกีฬา ต้นกำเนิดที่แท้จริงของแบรนด์เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดยผู้ที่คิดค้นและเริ่มผลิตก็คือ อดอล์ฟ หรือ แอดดิ ดาสเลอร์ (Adolf, Adi Dassler) โดยเขาได้เริ่มผลิตรองเท้ากีฬาคู่แรกของเขาเองในห้องซักผ้าภายในบ้าน ในปี ค.ศ.1920 หลังจากที่พี่ชาย รูดิ หรือ รูดอล์ฟ ดาสเลอร์ (Adolf, Adi Dassler) กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สองพี่น้องก็ช่วยกันผลิตรองเท้ากีฬาที่มีชื่อแบรนด์ว่า “Dassler” ซึ่งก็มาจากนามสกุลของสองพี่น้องนั่นเอง และได้เปิดกิจการอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1924 โดยชื่อที่ก่อตั้งนั้นเป็นชื่อ Gebrüder Dassler Schuhfabrik (Dassler Brothers Shoe Factory)
รองเท้าดาสเลอร์เป็นที่รู้จักของผู้คนอย่างรวดเร็วหลังจากที่ Adi ขอให้นักวิ่งชาวอเมริกันใส่รองเท้าตะปูของดาสเลอร์ลงแข่งวิ่งระยะสั้นในกีฬาโอลิมปิคเมื่อปี ค.ศ. 1936 และเจสซี่ โอเวนส์ ก็ได้เหรียญทองถึง 4 เหรียญในการแข่งขันในครั้งนั้น จนทำให้รองเท้า Dassler มียอดขายมากกว่า สองแสนคู่ต่อปี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งสองพี่น้องก็มีเรื่องหมางใจกัน กิจการของพวกเขาถูกแทรกแซงโดยทหาร และถูกสั่งให้ผลิตรองเท้าให้กับทหาร รูดิ พี่ชาย ถูกเรียกกลับไปประจำการที่กองทัพ เมื่อสงครามยุติลงในปี ค.ศ. 1948 ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ถึงจุดแตกหัก รูดิแยกตัวออกไปตั้งโรงงานผลตรองเท้าและสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาชื่อ « Ruda » และเปลี่ยนมาเป็น « Puma » ในภายหลัง ส่วนแอดดิก็เปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก Dassler ให้กลายมาเป็น « Adidas » ซึ่งมาจากชื่อและนามสกุลของเขานั่นเอง ทั้งสองแบรนด์ Puma และ Adidas แข่งขันกันอย่างดุเดือดยาวนานนับ 60 ปี จนกระทั่งปี 2009 สงครามระหว่างทั้งสองแบรนด์ก็สิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่หันมาจับมือกันในการแข่งขันกีฬาขององค์กร One Day Peace
ถ้ามองย้อนกับไปเมื่อปี ค.ศ.1949 ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆ ที่มีการผลิตรองเท้าของอดิดาส จะสังเกตุเห็นว่ารองเท้าของแอดดินั้น มีลักษณะเด่นไม่เหมือนใคร เนื่องจากพื้นของรองเท้านั้นมีลักษณะเป็นเดือยแหลมยื่นออกมาคล้ายๆ กับตะปู จนกลายเป็นจุดเด่นของรองเท้าอาดิดาสเลยก็ว่าได้ 

 Mark Spitz นักกีฬาว่ายน้ำชาวอเมริกันที่กำลังชูรองเท้า Adidas รุ่น Gazelles ก่อนขึ้นรับเหรียญรางวัล
ในปี ค.ศ. 1972 นักกีฬาว่ายน้ำผู้กวาดเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิค Mark Spitz ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้คนยิ่งจดจำรองเท้าของอดิดาสได้มากขึ้น โดยในวันที่ประกาศรับเหรียญ ทางบริษัทอดิดาสได้ขอให้เขาสวมใส่รองเท้าขึ้นรับเหรียญ แต่เขากลับปฏิเสธและทำให้ในสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงก็คือเขานำรองอดิดาสขึ้นมาชูไว้ โดยเขาบอกว่าหากเขาใส่รองผู้คนจะมองเห็นรองเท้าไม่ชัดเจน แต่ถ้าเขาถือและชูมันขึ้นมา กล้องถ่ายรูปก็จะสามารถจับภาพรองเท้าอดิดาสได้ชัดเจนอย่างแน่นอน เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยิ่งทำให้อดิดาสเป็นแบรนด์ที่มีผู้คนสนใจมากขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ประวัติโลโก้  Adidas
นอกจากจุดเด่นในของรองเท้าที่ทำแบรนด์นี้เป็นที่จดจำแล้ว สัญลักษณ์หรือโลโก้ของแบรนด์นี้ก็มีลักษณะเด่นเช่นกัน หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมอดิดาสถึงมีหลายโลโก้  
ในปี 1967 ก็มีวิวัฒนาการโลโก้ของอดิดาส เมื่ออดอล์ฟ ดาสเลอร์มีความคิดว่าควรมีการออกแบบโลโก้ใหม่เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ ทำให้แบรนด์นั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวและอยู่ในความทรงจำผู้คนไปแสนนาน The Three Stripes โลโก้อย่างเป็นทางการของ Adidas จึงเกิดขึ้นมา ความจริงแล้วเครื่องหมายการค้าหรือโลโก้ ”three stripes” นั้นเป็นของ Karhu Sports แต่อดอล์ฟ ดาสเลอร์ไปซื้อมันมาในราคา 1600 ยูโรและวิสกี้อีก 2 ขวด ทางบริษัทอดิดาสจึงสามารถใช้เป็นโลโก้ของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย

The Trefoil เป็นรูปคล้ายกับใบไม้ 3 ใบ เป็นโลโก้ที่สร้างขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1971 และถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ.1972 ในงาน  Munich Olympics และปัจจุบันโลโก้นี้ถูกนำมาใช้กับคอลเลคชั่นเสื้อผ้า หรือแฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์อย่าง Samba Superstar ซึ่งเป็นซีรีส์ที่อยู่มานานแล้ว รวมถึงรองเท้าที่ออกแบบโดย Jeremy Scoth และ Porsche Design
และเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในชื่อ Adidas Original collection. 
The Triangle หรือ Adidas performance เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟ ปีเตอร์ มัวร์ (Peter Moore) ได้ออกแบบโลโก้ใหม่ที่มีลักษณะเป็นแถบเรียงคล้ายกับสามเหลี่ยม หรือหากมองดีๆ ก็จะดูคล้ายกับภูเขา เพื่อสื่อให้เห็นถึงความท้าทายเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายของนักกีฬาทุกคน ที่ต้องตอบสนองและเอาชัยชนะมาให้ได้ อดอล์ฟ ดาสเลอร์ชอบความคิดของเขา จึงอนุมัติให้ใช้โลโก้นี้บนผลิตภัณฑ์ที่เป็นอุปกรณ์ต่างๆ ของอดิดาส จนกระทั่งในปี 1997 โลโก้ The Triangle ก็กลายเป็น สัญลักษณ์ของบริษัทอาดิดาส ในขณะที่ The Trefoil โลโก้แรกของอดิดาสก็เป็นอีกลูกเล่นที่อดิดาสนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมและคอลเลคชั่นเสื้อผ้า 

สำหรับโลโก้อดิดาสที่เราเห็นกันในปัจจุบันจะมี 4 แบบคือ
1. The Triangle หรือ Adidas performance เป็นไลน์สินค้าที่เน้นเรื่องกีฬาโดยเฉพาะ 
2. Adidas Original สีฟ้า ก็คงเดิมเป็นไลน์คอลเลคชั่นเสื้อผ้าหรือแฟชั่น
3. แบบกลมๆ เรียกว่า Adidas NEO เป็นแบบที่เพิ่มขึ้นมาภายหลังภายใต้คอนเซปต์ "Live Your Style" เป็นแบรนด์เสื้อผ้าสำหรับวัยรุ่น ที่มีการใส่ลูกเล่นสนุกสนาน น่ารัก สดใส ดูทันสมัยเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่น 
4. โลโก้สีเงิน คือ Adidas Silver เป็นสินค้าราคาสูง หรือสินค้ากลุ่ม High End เป็นแบบสุดท้ายที่เพิ่มขึ้นมา


อ้างอิง https://www.maanow.com